วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตเรา

สิ่งแวดล้อม
         สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาและไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ (เกษม, 2540) จากคำจำกัดความดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า สิ่งแวดล้อม คือ สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แต่ คำว่า "ตัวเรา" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตัวมนุษย์เราเท่านั้น โดยความเป็นจริงแล้ว ตัวเรานั้นเป็นอะไรก็ได้ที่ต้องการศึกษา/รู้ เช่น ตัวเราอาจจะเป็นดิน ถ้ากล่าวถึงสิ่งแวดล้อมดิน หรืออาจจะเป็นน้ำ ถ้ากล่าวถึงสิ่งแวดล้อมน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีข้อสงสัยว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวเรามีรัศมีจำกัดมากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าสิ่งต่างที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้มีขอบเขตจำกัด มันอาจอยู่ใกล้หรือไกลตัวเราก็ได้ จะมีบทบาทหรือมีส่วนได้ส่วนเสียต่อตัวเราอย่างไรนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะและพฤติกรรมของสิ่งนั้นๆ เช่น โศกนาฏกรรมตึกเวิร์ดเทรด ซึ่งตัวมันอยู่ถึงสหรัฐอเมริกา แต่มีผลถึงประเทศไทยได้ในเรื่องของเศรษกิจ เป็นต้น


ภาพ:สิ่งแวดล้อม.JPG

 ประเภทของสิ่งแวดล้อม

        จากความหมายของสิ่งแวดล้อมดังกล่าวสามารถแบ่งสิ่งแวดล้อมได้เป็น 2 ประเภท คือ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (Natural environment) และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-Mode Environment)

 1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ( Natural Environment)

        แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต) และสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต
        1. 1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต (Abiotic Environment) แบ่งได้ดังนี้
        1.1.1 บรรยากาศ (Atmosphere) หมายถึงอากาศที่ห่อหุ้มโลก ประกอบด้วย กา๙ชนิดต่างๆ เช่น โอโซน ไนโตรเจน ออกซิเจน อาร์กอน คาร์บอนไดออกไซด์ ฝุ่นละออง และไอน้ำ
        1.1.2 อุทกภาค (Hydrosphere) หมายถึงส่วนที่เป็นน้ำทั้งหมดของพื้นผิวโลก ได้แก่ มหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ฯลฯ
        1.1.3 ธรณีภาค หรือ เปลือกโลก(Lithosphere) หมายถึง ส่วนของโลกที่เป็นของแข็งห่อหุ้มอยู่รอบนอกสุด ของโลกประกอบด้วยหินและดิน


ภาพ:สิ่งแวดล้อม1.JPG
        1.2 สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต (Biotic Environment) ได้แก่ พืช สัตว์ และมนุษย์

2 . สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น(Man-Mode Environment)

        แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
        2.1 สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม (Concrete Environment) ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน โรงงาน วัด
        2.2 สิ่งแวดล้อมที่เป็นนามธรรม (Abstract Environment)ได้แก่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมายระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง เป็นต้น


องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
               สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ  มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์  ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีองค์ประกอบ 3  ประการดังนี้            
                  1.   ลักษณะภูมิประเทศ
                  2.   ลักษณะภูมิอากาศ
                  3.  ทรัพยากรธรรมชาติ   
ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ
            1.  พลังงานภายในเปลือกโลก  ทำให้เปลือกโลกผันแปร  บีบอัดให้ยกตัวสูงขึ้น  กลายเป็นภูเขาที่ราบสูง  หรือทรุดต่ำลง  เช่น เหว  แอ่งที่ราบ
             2.  ตัวกระทำทางธรรมชาติภายนอกเปลือกโลก  ทำให้เปลือกโลกเกิดการสึกกร่อนพังทลายหรือทับถม  ได้แก่  ลม  กระแสน้ำ ธารน้ำแข็ง
             3.   การกระทำของมนุษย์  เช่น  การสร้างเขื่อนเพื่อการชลประทาน   การตัดถนนเข้าไปในป่า  ทำให้ลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่นั้นๆเปลี่ยนไปจากเดิม
ความสำคัญของลักษณะภูมิประเทศ
          1.  ความสำคัญต่อมนุษย์  ลักษณะภูมิประเทศมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐาน  การประกอบอาชีพของมนุษย์  เช่น  ที่ราบลุ่มแม่น้ำ
            2.  ความสำคัญต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น  ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง  ย่อมมีอิทธิพลต่อลักษณะภูมิอากาศของท้องถิ่น  เช่น  ทำให้เกิดเขตเงาฝน
           3.   ความสำคัญต่อทรัพยากรธรรมชาติ  เช่น  เขตเทือกเขาสูง  ย่อมอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ  ป่าไม้และสัตว์ป่า
ประเภทของลักษณะภูมิประเทศ
          ลักษณะภูมิประเทศจำแนกได้ 2 ประเภท  ดังนี้
                 1.  ลักษณะภูมิประเทศอย่างใหญ่  เห็นได้ชัดและเกิดในอาณาบริเวณที่กว้างขวาง  เป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวภายในของเปลือกโลก  ทำให้เปลือกโลกยกตัวขึ้นสูงหรือทรุดต่ำลง  โดยคงลักษณะเดิมไว้นานๆ  เช่น  ที่ราบ  ที่ราบสูง  เนินเขา  และภูเขา
                2.   ลักษณะภูมิประเทศอย่างย่อย  มีอาณาบริเวณไม่กว้างนัก  อาจเปลี่ยนแปลงรูปได้  มักเกิดจากการกระทำของธารน้ำแข็ง  กระแสลม คลื่น  เช่น  แม่น้ำ ทะเลสาบ  อ่าว  แหลม  น้ำตก
ประเภทของที่ราบ แบ่งตามลักษณะของการเกิด
           1.  ที่ราบดินตะกอน  พบตามสองฝั่งของแม่น้ำ  เกิดจาการทับถมของดินตะกอนที่น้ำพัดพา
           2.  ที่ราบน้ำท่วมถึง  เป็นที่ราบลุ่มในบริเวณแม่น้ำ  มีน้ำท่วมขังในฤดูฝน  เกิดจากการทับถมของดินตะกอนหรือวัสดุน้ำพา
           3.  ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยม เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำบริเวณปากแม่น้ำ  เกิดจากการทับถมของโคลนตะกอนวัสดุน้ำพาจนกลายเป็นที่ราบรูปพัด
           4.  ลานตะพักลำน้ำ  คือ  ที่ราบลุ่มแม่น้ำอีกประเภทหนึ่ง  แต่อยู่ห่างจากสองฝั่งแม่น้ำออกไป  น้ำท่วมไม่ถึง  ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์  บางที่เรียกว่า  ที่ราบขั้นบันได
ความสำคัญของภูมิอากาศ
          1.  ความสำคัญที่มีต่อลักษณะภูมิประเทศ  ภูมิอากาศทำให้ท้องถิ่นมีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกัน
             2.  ความสำคัญที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ  เช่น  ภูมิอากาศร้อนชื้น  ฝนชุก  จะมีทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าบางชนิดชุกชุม
             3.  ความสำคัญที่มีต่อมนุษย์  ภูมิอากาศย่อมมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่  การแต่งกาย  บ้านเรือน
ปัจจัยที่มำให้ภูมิอากาศของท้องถิ่นต่างๆมีความแตกต่างกัน
              1.  ที่ตั้ง  คือ  ละติจูดของพื้นที่
              2.  ลักษณะภูมิประเทศ  คือ  ความสูงของพื้นที่
              3.  ทิศทางลมประจำ  เช่น  ลมประจำปี
              4.   หย่อมความกดอากาศ
              5.   กระแสน้ำในมหาสมุทร
ที่ตั้ง  หรือ ละติจูดของพื้นที่
           ละติจูดของพื้นที่มีผลต่อปริมาณความร้อนที่ได้รับจากแสงอาทิตย์  ดังนี้
                  1.  เขตละติจูดต่ำ  ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ตลอดทั้งปี  จึงมีอากาศร้อน
                     2.  เขตละติจูดสูง  ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์  ความร้อนที่ได้รับมีน้อย  จึงเป็นเขตอากาศหนาวเย็น
                    3.  เขตละติจูดปานกลาง  ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากน้อยตามฤดูกาล  จึงมีอากาศอบอุ่น
ความอยู่ใกล้  หรือไกลทะเล
             มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น  ดังนี้
                   1.พื้นที่ที่อยู่ใกล้ทะเล  จะได้รับอิทธิพลจากพื้นน้ำ  ทำให้ฝนตกมากและอากาศเย็น
                   2.พื้นที่ที่อยู่ไกลทะเล   เช่น  อยู่กลางทวีป  อากาศจะแห้งแล้ง
ความสูงของพื้นที่  มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น
          พื้นที่ยิ่งสูงอากาศยิ่งหนาวเย็น  เนื่องจากความร้อนที่ผิวพื้นโลกได้รับจากดวงอาทิตย์จะแผ่สะท้อนกลับสู่บรรยากาศ  ดังนั้นบริเวณที่อยู่ใกล้พื้นผิวโลกจึงมีความร้อนมาก
การขวางกั้นของเทือกเขาสูง
            มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น    ถ้าเทือกเขาสูง  วางตัวกั้นทิศทางของลมประจำ  เช่น  ลมมรสุมฤดูฝน  จะเป็นผลให้ด้านหน้าของเทือกเขาได้รับความชุ่มชื้น  มีฝนตกชุก ส่วนด้านหลังของเทือกเขาเป็นเขตอับลมฝนแห้งแล้ง ที่เรียกกันว่า  เขตเงาฝน
การจำแนกเขตภูมิอากาศโลกตามวิธีการของเคิปเปน
            เคิปเปน  นักภูมิอากาศวิทยาชาวออสเตรีย  ได้กำหนดประเภทภูมิอากาศของโลกออกเป็น 6 ประเภท  โดยกำหนดสัญลักษณ์เป็นภาษาอังกฤษ  ดังนี้
                1.  แบบร้อนชื้น (a)  มีอุณหภูมิสูงตลอดทั้งปี  ฝนตกชุก  พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าดงดิบ
               2.  แบบแห้งแล้ง (b)  มีอุณหภูมิสูง  แห้งแล้ง มีฝนตกน้อยมาก  พืชพรรณเป็นพืชทะเลทราย
               3.  แบบอบอุ่น  หรือชื้น อุณหภูมิปานกลาง (c)  อากาศอบอุ่น  อุณหภูมิปานกลาง  พืชพรรณเป็นป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่น
               4.  แบบหนาวเย็น  อุณหภูมิต่ำ  (d) อากาศหนาวเย็น  อุณหภูมิต่ำ  พืชพรรณเป็นป่าผลัดใบเขตอบอุ่น  ป่าเขตหนาว  และทุ่งหญ้าแพรี
               5.  แบบขั้วโลก (e)  อากาศหนาวเย็นมากที่สุด อุณหภูมิต่ำมาก  พืชพรรณเป็นหญ้ามอส  และตะไคร่น้ำ
             6. แบบภูเขาสูง  (h) เป็นลักษณะภูมิอากาศแบบพิเศษ  พบในเขตภูเขาสูง  มีภูมิอากาศหลายแบบทั้ง a, c, d  อยู่ร่วมกันตามระดับความสูงของภูเขา  ยิ่งสูงอากาศยิ่งหนาว  พืชพรรณธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูงของพื้นที่
หลักเกณฑ์การแบ่งเขตภูมิอากาศของเคิปเปน
           เคิปเปน  มีหลักเกณฑ์การพิจารณา 3 ประการ  ดังนี้
                  1.  อุณหภูมิของอากาศในท้องถิ่น
                 2.  ปริมาณฝนของท้องถิ่น
                 3.  ลักษณะพืชพรรณของท้องถิ่น
ทรัพยากรธรรมชาติ
           ทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์  มี 4 ประเภท  ดังนี้
                    1. ดิน                         2.  น้ำ                        3. แร่ธาตุ                         4.  ป่าไม้
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
            1.  การเพิ่มของจำนวนประชากร  ทำให้การบริโภคทรัพยากรสิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว
             2.  การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่  เช่น  เลื่อยไฟฟ้าตัดไม้ในป่า
             3.  การบริโภคฟุ่มเฟือย  ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม  สนับสนุนให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย  ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญสิ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยที่ทำให้ดินในแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน
             ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์   ประกอบด้วย  อนินทรีย์วัตถุ  มีร้อยละ  45 อินทรีย์วัตถุ  มีร้อยละ 5  น้ำร้อยละ 25  และอากาศร้อยละ  25  ปัจจัยที่ทำให้ดินในแต่ละท้องถิ่นมีความอุดมสมบูรณ์แตกต่างกัน  คือ
                  1.  ลักษณะภูมิประเทศ  พื้นที่ลาดชันมาก  การสึกกร่อนพังทลายของดินมีมาก 
            2.   ลักษณะภูมิอากาศ  ในเขตร้อนชื้น  ฝนตกชุก    การชะล้างของดินและการผุพังสลายตัวของแร่ธาตุ  ซากพืชซากสัตว์ในดินจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว  ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพเร็ว
                3.  สัตว์มีชีวิตในดิน  เช่น  ไส้เดือน  จุลินทรีย์ในดิน  จะช่วยย่อยซากพืชซากสัตว์  ทำให้ดินได้รับฮิวมัสเพิ่มมากขึ้น 
ปัจจัยสำคัญที่ควบคุมความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรน้ำ
             1.  น้ำบนดิน  ได้แก่  แม่น้ำ  ลำคลอง  หนอง  บึง
             2.  น้ำใต้ดิน หมายถึง  น้ำบาดาล  ปริมาณน้ำใต้ดินจะมีมากน้อย ขึ้นกับ
                  -  ปริมาณฝนของพื้นที่นั้นๆ
                  -  ความสามารถในการเก็บกักน้ำของชั้นหินใต้พื้นดิน
ประเภทของแร่ธาตุ
           1.  แร่โลหะ  คือแร่ที่ประกอบด้วยธาตุโลหะ   มีความวาวให้สีผงเป็นสีแก่  ได้แก่  xxxีบุก  ทังสเตน  พลวง
           2.  แร่อโลหะ  คือแร่ที่ไม่มีความวาวแบบโลหะ  ให้สีผงเป็นสีอ่อน ได้แก่  ดินขาว หินปูน  หินอ่อน
           3.  แร่เชื้อเพลิง  คือแร่ที่มีสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน  ทำเป็นเชื้อเพลิง  ได้แก่  น้ำมันปิโตรเลียม  ก๊าซธรรมชาติ
           4.  แร่นิวเคลียร์    คือแร่ที่นำมาใช้ในกิจการพลังงานปรมาณู  เช่น  ยูเรเนียม
การจำแนกประเภทของป่าไม้
          1.  ป่าไม้ไม่ผลัดใบ  มีใบเขียวตลอดปี  พบในเขตฝนชุก  มี 4 ชนิด  ดังนี้
                 1.1  ป่าดงดิบ  มีลักษณะเป็นป่ารกทึบ
                 1.2  ป่าดิบเขา  มีลักษณะคล้ายป่าดงดิบ
                 1.3  ป่าสนเขา  เป็นไม้สน  ขึ้นในเขตภูเขาสูง
                 1.4  ป่าชายเลน  ขึ้นตามชายฝั่งทะเลที่มีหาดเลน  บางที่เรียกว่า  ป่าเลนน้ำเค็ม
           2.  ป่าไม้ผลัดใบเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบในฤดูแล้ง  มี   2 ชนิด  ดังนี้
                2.1  ป่าเบญจพรรณ  เป็นป่าโปร่ง  ผลัดใบในฤดูแล้ง
                2.2  ป่าแดง  เป็นป่าโปร่ง  มีทุ่งหญ้าสลับทั่วไป


สาเหตุหลักของปัญหาสิ่งแวดล้อมมีอยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ
1. การเพิ่มของประชากร (Population growth) ปริมาณการเพิ่มของประชากรก็ยังอยู่ในอัตราทวีคูณ (Exponential Growth) เมื่อผู้คนมากขึ้นความต้องการบริโภคทรัพยากรก็เพิ่มมากขึ้นทุกทางไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัย พลังงาน

2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) ความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นทำให้มาตรฐานในการดำรงชีวิตสูงตามไปด้วย มีการบริโภคทรัพยากรจนเกินกว่าความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิต มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีก็ช่วยเสริมให้วิธีการนำทรัพยากรมาใช้ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น

ผลที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม    ผลสืบเนื่องอันเกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ เนื่องจาก มีการใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่ประหยัด อาทิ ป่าไม้ถูกทำลาย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ขาดแคลนน้ำ ภาวะมลพิษ (Pollution) เช่น มลพิษในน้ำ ในอากาศและเสียง มลพิษในอาหาร สารเคมี อันเป็นผลมาจากการเร่งรัดทางด้านอุตสาหกรรมนั่นเอง
    กาลเวลาผ่านมาจนกระทั้งถึงระยะเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษที่ผ่านมา (ระยะสิบปี) ซึ่งเรียกกันว่า "ทศวรรษแห่งการพัฒนา" นั้น ปรากฎว่าได้เกิดมีปัญหารุนแรงด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในบางส่วนของโลกและปัญหาดังกล่าวนี้ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันในทุกประเทศทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เช่น
     1.ปัญหาทางด้านภาวะมลพิษที่เกี่ยวกับน้ำ   ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมสลายและหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ ป่าไม้ พืช สัตว์ ทั้งที่เป็นอาหารและที่ควรจะอนุรักษ์ไว้เพื่อการศึกษา ปัญหาที่เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและชุมชนของมนุษย์ เช่น การวางผังเมืองและชุมชนไม่ ถูกต้อง ทำให้เกิดการแออัดยัดเยียด ใช้ทรัพยากรผิดประเภทและลักษณะ ตลอดจนปัญหาแหล่งเสื่อมโทรมและปัญหาจากของเหลือทิ้งอันได้แก่มูลฝอย
     2. ปัญหามลพิษที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมีมากมาย มิใช่แต่เพียงมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ หรือทางดินที่เรารู้จักกันดีเท่านั้น การที่สภาวะแวดล้อมของเราเปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นของการพัฒนาบ้านเมือง ซึ่งจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้นั้น หากมิได้มีการวางแผนอย่างถี่ถ้วนรัดกุม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอาจกลายเป็นปัญหามลพิษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้คนได้
     ตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับเมืองเรา คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานครได้ก่อให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมอย่างมากมาย จนกระทั่งบางเรื่องอาจลุกลามใหญ่โตจนไม่สามารถแก้ไขได้ในสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเรา  การที่เมืองขยายออกไป ผืนดินที่ใช้ทางการเกษตรที่ดีก็ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งเป็นที่ลุ่มกลับกลายเป็นแหล่งชุมชน คลองเพื่อการระบายน้ำถูกเปลี่ยนแปลงเป็นถนนเพื่อการคมนาคม แอ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำถูกขจัดให้หมดไปด้วยสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เมื่อถึงหน้าน้ำหรือเมื่อฝนตกใหญ่ กรุงเทพมหานครจะประสบปัญหาน้ำท่วมทุกครั้ง น้ำท่วมก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมาย เริ่มต้นด้วยโรคน้ำกัดเท้า และต่อไปก็อาจเกิดโรคระบาดได้
     ปัญหาขยะก็เป็นมลพิษที่สำคัญอีกประการหนึ่ง หากเมืองใหญ่ขึ้น ผู้คนมากขึ้น ของทิ้งก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดา การเก็บขยะให้หมดจึงเป็นปัญหาสำคัญของเมืองใหญ่ ๆ ต่าง ๆ หากเก็บขยะไปไม่หมด ขยะก็จะสะสมหมักหมมอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นที่เพาะเชื้อโรค และแพร่เชื้อโรค ทำให้เกิดลักษณะเสื่อมโทรมสกปรก นอกจากนี้ ขยะยังทำให้เกิดมลพิษทางน้ำ เมื่อมีผู้ทิ้งขยะลงไปในน้ำ การเน่าเสียก็จะเกิดขึ้นในแหล่งนั้น ๆ   การจราจรที่แออัดนอกจากเกิดปัญหามลพิษทางอากาศแล้วยังมีปัญหาในเรื่องเสียงติดตามมาด้วย เพราะยวดยานที่ผ่านไปมาทำให้เกิดเสียงดังและความสะเทือน เสียงที่ดังเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ บางคนดัดแปลงยานพาหนะของตนไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ทำให้เสียงดังกว่าปกติ โดยนิยมกันว่าเสียงที่ดังมาก ๆ นั้นเป็นของโก้เก๋ คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าตนกำลังทำอันตรายให้เกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น เสียงที่ดังเกินขอบเขตจะทำให้เกิดอาการทางประสาท ซึ่งอาจแสดงออกเป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือทางอารมณ์ เช่น เกิดอาการหงุดหงิด ใจร้อนควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เป็นต้น นอกจากนี้เสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้เกิดความเสื่อมกับอวัยวะในการรับเสียงอีกด้วย ผู้ที่ฟังเสียงดังเกินขอบเขตมาก ๆ จะมีลักษณะหูเสื่อม ทำให้การได้ยินเสื่อมลง เป็นต้น
      ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือปัญหาสารมลพิษที่แปลกปลอมมา ในสิ่งที่เราจะต้องใช้บริโภค อาหารที่เราบริโภคกันอยู่ในทุกวันนี้อาจมีสิ่งเป็นพิษแปลกปลอมปนมาได้ โดยความบังเอิญหรือโดยความจงใจ
      การใช้สารมีพิษเพื่อการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ความสนใจในโทษของสารเคมีที่ใช้ในการปราบศัตรูพืชยังมีน้อยมาก ในประเทศไทย วัตถุมีพิษที่ใช้ในกิจการดังกล่าวส่วนใหญ่สั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ที่นิยมใช้กันอยู่มีประมาณ 100 กว่าชนิด วัตถุมีพิษเหล่านี้ผสมอยู่ในสูตรต่าง ๆ มากกว่า 1,000 สูตร เมื่อมีการใช้วัตถุมีพิษอย่างแพร่หลายมากเช่นนี้ สารมีพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม และสารมีพิษตกค้างในอาหาร ซึ่งทำให้ทั้งคนและสัตว์ได้รับอันตราย จึงปรากฎมากขึ้น จากการวิเคราะห์ตัวอย่างต่าง ๆ พบว่า ปริมาณสารมีพิษประเภทยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ที่ตกค้างในน้ำและในสัตว์น้ำมีแนวโน้มของการสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าบางกรณีปริมาณวัตถุมีพิษที่สะสมอยู่ในสัตว์น้ำที่ประชาชนใช้บริโภคอยู่ จะมีค่าต่ำกว่ามาตรฐานที่บางประเทศกำหนดไว้ก็ตาม หากคิดว่าโดยปกติคนไทยจะนิยมบริโภคสัตว์น้ำเป็นอาหารหลักด้วยแล้ว ปัญหานี้ก็จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวอันตรายมาก



 ระบบนิเวศ หมายถึง หน่วยของความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่ง มาจากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คำ คือ Oikos แปลว่า บ้าน, ที่อยู่อาศัย Logos แปลว่า เหตุผล, ความคิด
    สิ่งแวดล้อม คือ สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา แบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบใหญ่ คือ สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และอีกองค์ประกอบหนึ่ง คือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ คือ ดิน น้ำ ป่าไม้ อากาศ แสง ฯลฯ และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นได้แก่ สิ่งก่อสร้าง โบราณสถาน ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม เป็นต้น
         ในแหล่งน้ำนี้จะมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตได้แก่สัตว์น้ำ ทั้งตัวเต็มวัย ตัวอ่อน และพืชน้ำนานาชนิด รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และจุลินทรีย์จำนวนมากอาศัยอยู่รวมกัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กันไปตามบทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่ม กล่าวคือ พืชและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีคลอโรฟีลล์ เป็นพวกที่สร้างอาหารได้เองโดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง จึงเป็นผู้ผลิตแหล่งอาหารที่สำคัญให้แก่สัตว์ ซึ่งจะกินต่อกันเป็นทอดๆ จากสัตว์กินพืช สัตว์กินสัตว์ และสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารต่อไป เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตายลง ก็จะถูกจุลินทรีย์กลุ่มสิ่งมีชีวิตย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารอนินทรีย์กลับคืนสู่แหล่งน้ำ
         ในแหล่งน้ำจะมีสารและแร่ธาตุต่างๆละลายปนอยู่ในน้ำ ซึ่งมีปริมาณมากบ้างน้อยบ้างตามฤดูกาล เนื่องจากในหน้าแล้งน้ำก็จะระเหยออกไป ส่วนในฤดูฝนก็จะมีน้ำและสารต่างๆถูกชะล้างจากบริเวณใกล้เคียงไหลลงสู่แหล่งน้ำ จึงทำให้ปริมาณน้ำและสารต่างๆเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
         สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำก็ได้ใช้สารและแร่ธาตุต่างๆในการดำรงชีวิต ได้แก่ การหายใจ การเจริญเติบโต การสังเคราะห์ด้วยแสง ฯลฯ จากกระบวนการเหล่านี้ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งกระบวนการย่อยสลายของอินทรียสารของพวกจุลินทรีย์ จะมีการปล่อยสารบางอย่างออกสู่แหล่งน้ำ และสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำก็จะใช้สารเหล่านั้นในกระบวนการต่างๆอีก สารและแร่ธาตุต่างๆจึงหมุนเวียนเข้าสู่สิ่งมีชีวิต และปล่อยออกสู่แหล่งน้ำตลอดเวลาวนเวียนเป็นวัฏจักร
         ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในแหล่งน้ำนี้ เช่น มีปริมาณธาตุไนโตรเจนมากเกินไปก็จะมีผลทำให้พืชน้ำหลายชนิดเจริญเติบโตขยายพันธุ์มากและรวดเร็ว ในระยะแรกๆ สัตว์น้ำที่กินพืชเป็นอาหารจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น จนในที่สุดพืชที่เป็นแหล่งอาหารจะลดปริมาณลง ทำให้สัตว์กินพืชลดจำนวนลง และมีผลทำให้สัตว์กินสัตว์ลดจำนวนตามไปด้วย เนื่องจากอาหารไม่เพียงพอ
         ในขณะที่สัตว์และพืชเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะเกิดความแออัด จะมีของเสียถ่ายสู่แหล่งน้ำมากขึ้น ทำให้คุณภาพของแหล่งน้ำนั้นเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการดำรงชีพของสัตว์และพืชบางชนิด แต่ไม่เหมาะสมสำหรับสัตว์และพืชอีกหลายชนิด ในแหล่งน้ำจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และจะพบว่ามีความสัมพันธ์กันภายในอย่างซับซ้อน ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยต่างๆในแหล่งน้ำมีการควบคุมตามธรรมชาติที่ทำให้จำนวนและชนิดของสิ่งมีชีวิตอยู่ในภาวะสมดุลได้
         ความสัมพันธ์ในสระน้ำนั้นเป็นตัวอย่างของหน่วยหนึ่งในธรรมชาติ เรียกว่า ระบบนิเวศ(ecosystem) ซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบริเวณนั้น และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อมของแหล่งที่อยู่ ได้แก่ ดิน น้ำ แสง ในระบบนิเวศจะมีการถ่ายทอดพลังงานระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่างๆ และมีการหมุนเวียนสารต่างๆจากสิ่งแวดล้อมสู่สิ่งมีชีวิตและจากสิ่งมีชีวิตสู่สิ่งแวดล้อม
         ระบบนิเวศมีทั้งระบบใหญ่ เช่น โลกของเราจัดเป็นระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า โลกของสิ่งมีชีวิตหรือชีวภาค (biosphere) ซึ่งรวมระบบนิเวศหลากหลายระบบ และระบบนิเวศเล็กๆ เช่น ทุ่งหญ้า สระน้ำ ขอนไม้ผุ ระบบนิเวศ จำแนกได้เป็น ระบบนิเวศตามธรรมชาติ ได้แก่ ระบบนิเวศบนบก เช่น ป่าไม้ บึง ทุ่งหญ้าทะเลทราย ระบบนิเวศน้ำ เช่น แม่น้ำลำคลอง ทะเล หนอง บึง มหาสมุทร ระบบนิเวศอีกประเภทหนึ่งคือ ระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ ระบบนิเวศ ชุมชนเมือง แหล่งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เป็นต้น


ภาพ:ecology_level_1.jpg
ความหมายของคำต่างๆ ในระบบนิเวศ

 สิ่งมีชีวิต(Organism)

         สิ่งมีชีวิต หมายถึง สิ่งที่ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
  • ต้องมีการเจริญเติบโต
  • เคลื่อนไหวได้ด้วยพลังงานที่เกิดขึ้นในร่างกาย
  • สืบพันธุ์ได้
  • สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
  • มีการหายใจ
  • มีการขับถ่ายของเสีย
  • ต้องกินอาหาร หรือแร่ธาตุต่างๆ

 ประชากร (Population)

         ประชากร (Population) หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เป็นชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

 กลุ่มสิ่งมีชีวิต(Community)

         กลุ่มสิ่งมีชีวิต (Community) หมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตนั้นๆ มีความสัมพันธ์กัน โดยตรงหรือโดยทางอ้อม

โลกของสิ่งมีชีวิต

         โลกของสิ่งมีชีวิต หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน

 แหล่งที่อยู่ (Habitat)

         แหล่งที่อยู่ (Habitat) หมายถึง บริเวณ หรือสถานที่ที่ใช้สำหรับผสมพันธุ์วางไข่ เป็นแหล่งที่อยู่ เช่น บ้าน สระน้ำ ซอกฟัน ลำไส้เล็ก



ความหมายของนิเวศวิทยา

         คำว่า Ecology ได้รากศัพย์มาจากภาษากรีก คือ Oikos และ Olgy ซึ่ง Oikos หมายความถึง "บ้าน" หรือ "ที่อยู่อาศัย" และ Ology หมายถึง "การศีกษา"Ecologyหรือนิเวศวิทยาจึงเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งว่าด้วยการศึกษาสิ่งมีชีวิตในแหล่งอาศัยและกินความกว้างไปถึงการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
         ระบบนิเวศหนึ่ง ๆ นั้น ประกอบด้วยบริเวณที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ และกลุ่มประชากรที่มีชีวิตอยู่ในบริเวณดังกล่าว พืชและโดยเฉพาะสัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องการบริเวณที่อยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยที่สุดที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อว่าการมีชีวิตอยู่รอดตลอดไป ยกตัวอย่างเช่น สระน้ำแห่งหนึ่งเราจะพบสัตว์และพืชนานาชนิด ซึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับบริเวณน้ำที่มันอาศัยอยู่โดยมีจำนวนแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด สระน้ำนั้นดูเหมือนว่าจะแยกจากบริเวณแวดล้อมอื่น ๆ ด้วยขอบสระ แต่ตามความเป็นจริงแล้วปริมาณน้ำในสระสามารถเพิ่มขึ้นได้ โดยน้ำฝนที่ตกลงมา ในขณะเดียวกันกับที่ระดับผิวน้ำก็จะระเหยไปอยู่ตลอดเวลา น้ำที่ไหลเข้ามาเพิ่มก็จะพัดพาเอาแร่ธาตุและชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพืชที่เน่าเปื่อยเข้ามาในสระตัวอ่อนของยุงและลูกกบตัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในสระน้ำ แต่จะไปเติบโตบนบก นกและแมลงซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกสระก็จะมาหาอาหารในสระน้ำ การไหลเข้าของสารและการสูญเสียสารเช่นนี้จึงทำให้สระน้ำเป็นระบบเปิดระบบหนึ่ง
         หากมีแร่ธาตุไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้การเจริญเติบโตของพืชเพิ่มมากขึ้น เช่น ไฟโตแพลงตันหรือพืชน้ำที่อยู่ก้นสระ ปริมาณสัตว์จึงเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อปริมาณสัตว์เพิ่ม ปริมาณของพืชที่เป็นอาหารก็จะค่อย ๆ น้อยลง ทำให้ปริมาณสัตว์ค่อย ๆ ลดตามลงไปด้วยเนื่องจากอาหารมีไม่พอ ดังนั้นสระน้ำจึงมีความสามารถในการที่จะควบคุมตัวของมัน (Self-regulation) เองได้ กล่าวคือ จำนวนและชนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ในสระน้ำจะมีจำนวนคงที่ ซึ่งเราเรียกว่ามีความสมดุล
         สระน้ำนี้ จึงเป็นหน่วยหนึ่งของธรรมชาติที่เรียกว่า "ระบบนิเวศ" (Ecosystem) ซึ่งกล่าวได้ว่าระบบนิเวศหนึ่ง ๆ นั้น เป็นโครงสร้างที่เปิดและมีความสามารถในการควบคุมตัวของมันเอง ประกอบไปด้วยประชากรต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ไร้ชีวิต ระบบนิเวศเป็นระบบเปิดที่มีความสัมพันธ์กับบริเวณแวดล้อมโดยมีการแลกเปลี่ยนสาร และพลังงาน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวชุมชนที่มีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ใช้ชีวิตนั้นรวมกันเป็นระบบนิเวศ


ภาพ:slide0007_image5B1.jpg


         ระบบนิเวศอาจมีขนาดใหญ่ระดับโลก คือ ชีวาลัย (biosphere) ซึ่งเป็นบริเวณที่ห่อหุ้มโลกอยู่และสามารถมีขบวนการต่าง ๆ ของชีวิตเกิดขึ้นได้หรืออาจมีขนาดเล็กเท่าบ่อน้ำแห่งหนึ่ง แต่เราสามารถจำแนกระบบนิเวศออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ ดังนี้

ระบบนิเวศทางธรรมชาติและใกล้ธรรมชาติ (Natural and seminatural ecosystems)

         เป็นระบบที่ต้องพึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อที่จะทำงานได้

 ระบบนิเวศทางทะเล เช่น มหาสมุทรแนวปะการัง ทะเลภายในที่เป็นน้ำเค็ม


 ระบบนิเวศบนบก (Terresttrial ecosystems)

  • ระบบนิเวศกึ่งบก เช่น ป่าพรุ
  • ระบบนิเวศบนบกแท้ เช่น ป่าดิบ ทุ่งหญ้า ทะเลทราย



 ระบบนิเวศเมือง-อุตสาหกรรม (Urbanindustral ecosystems)

         เป็นระบบที่ต้องพึ่งแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง พลังนิวเคลียร์ เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่

 ระบบนิเวศเกษตร (Agricultural ecosystems)

         เป็นระบบที่มนุษย์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางธรรมชาติขึ้นมาใหม่



ระบบนิเวศและประโยชน์ของทุ่งน้ำจืด

น้ำ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของระบบนิเวศทุ่งน้ำจืด ทั้งในด้านการกำเนิดและการดำรงอยู่ น้ำภายในทุ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช         และสัตว์ขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จนถึงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ การที่น้ำถูกระบายผ่านทุ่งน้ำจืดเคลื่อนที่ได้ช้า เพราะลักษณะภูมิประเทศอันเป็นที่ราบ ทำให้สิ่งที่แขวนลอยและตะกอนดินต่างๆ ที่ไหลมากับน้ำ เกิดการตกตะกอนเป็นธาตุอาหารให้กับพืชน้ำ สัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ขึ้นจะกินพืชและสัตว์เล็กๆ เป็นอาหาร เหยี่ยว งู ปลาไหล นาก ฯลฯ จะกินสัตว์น้ำ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลาน เป็นอาหารอีกต่อหนึ่ง
         การเกิดน้ำท่วมและความแห้งแล้ง มีผลกระทบกับทุ่งน้ำจืดโดยตรง น้ำท่วมอาจทำให้สิ่งมีชีวิตในทุ่งบางชนิด เช่น หนูที่อยู่ในรูตายได้ แต่ความแห้งแล้งทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยาวนานของน้ำท่วมและความแห้งแล้ง ข้อมูลเกี่ยวกับความถี่และช่วงเวลาของการเกิดน้ำท่วมและความแห้งแล้งช่วยในการจัดการพื้นที่ทุ่งได้
         Adamus และ Stockwell ได้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อเสนอต่อกรมทางหลวงสหรัฐอเมริกา และได้สรุปความสัมพันธ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำต่อมวลมนุษย์ดังนี้

         -เก็บกักน้ำใต้ดิน

         -ปลดปล่อยน้ำใต้ดิน
  
         -ควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วม

         -ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล

         -กักเก็บตะกอน

         -สะสมและปลดปล่อยธาตุอาหาร

         -เป็นส่วนหนึ่งของลูกโซ่อาหาร
  
         -เป็นที่อยู่อาศัยของปลา

         -เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีศักยภาพ


มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

ความหมายของสิ่งแวดล้อมสิ่งต่างๆ ทั้งทางธรรมชาติและทางสังคมที่อยู่รอบๆ มนุษย์มีทั้งที่ดีและไม่ดีมีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ
เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์กระทำขึ้น ทั้งที่มองเห็นได้และเห็นไม่ได้ในรูปของสสารและพลังงาน รวมทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ผลรวมของสภาพทางกายภาพ เคมีและชีวะที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องพบเห็นอยู่เสมอ ซึ่งประกอบด้วย ภูมิอากาศ น้ำ แสงสว่าง ดิน พืชพรรณและชนิดของสิ่งมีชีวิตอื่น มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นปัจจัยที่เกื้อกูลเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งมีส่วนเสริมสร้าง หรือทำลายปัจจัยอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นวงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันทั้งระบบ
สรุป ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบ มีอิทธิพลต่อการดำรงชีพทั้งทางตรงและทางอ้อม
ประเภทของสิ่งแวดล้อม1. จำแนกตามลักษณะการเกิด1.1 เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือ สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ แบ่งเป็น
1.1.1 สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต เช่น คน สัตว์น้ำ สัตว์ป่า ต้นไม้
1.1.2 สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ น้ำ ดิน แร่ อากาศ พลังงาน ภูมิประเทศ
1.2 สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แบ่งเป็น
1.2.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ เส้นทางคมนาคม ฯลฯ
1.2.2 สิ่งแวดล้อมที่เป็นมโนภาพ ได้แก่ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ศาสนา ภาษา ฯลฯ
2. จำแนกตามลักษณะการมองเห็น2.1 สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม ประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ สัตว์ ดิน น้ำ แร่ธาตุ ฯลฯ และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สิ่งก่อสร้าง ยานพาหนะ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ ฯลฯ
2.2 สิ่งแวดล้อมทางนามธรรม หรือสังคม เป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อความเป็นระเบียบในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่มิใช่วัตถุ ได้แก่ ระบบสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี การเมือง กฎหมาย ฯลฯ
คุณสมบัติบางประการของระบบสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
1.โครงสร้างของระบบธรรมชาติ ล้วนเกิดจากการรวมตัวของสสารและพลังงาน
2.ความสลับซับซ้อนของโครงสร้างในระบบธรรมชาติ
3.ระบบธรรมชาติเป็นระบบที่สามารถควบคุมตัวเองได้
คุณสมบัติเฉพาะตัวของสิ่งแวดล้อม

1. มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกลไกควบคุมการเกิด และเกิดขึ้นเฉพาะแห่ง เช่น ต้นไม้ น้ำ ดิน สัตว์ วัฒนธรรม ฯลฯ
2.ไม่อยู่โดดเดี่ยวในธรรมชาติ แต่จะมีสิ่งแวดล้อมอื่นอยู่ด้วยเสมอ เช่น มนุษย์กับที่อยู่อาศัย ต้นไม้กับดิน สัตว์กับพืช ปลากับน้ำ ฯลฯ
3. ต้องการสิ่งแวดล้อมอื่นด้วยเสมอ เพื่อความอยู่รอด หรือรักษาสถานภาพตนเอง หากขาดสิ่งแวดล้อมอื่นที่จำเป็นต่อการอยู่รอดอาจสูญสลายไป เช่น ปลาต้องการน้ำ ต้นไม้ต้องการดิน ฯลฯ
4. อยู่กันเป็นกลุ่ม เรียกว่า สรรพสิ่ง หรือ ระบบสภาพแวดล้อม หรือ ระบบนิเวศ ภายในระบบนิเวศนั้นก็จะมีองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตที่มีหน้าที่การทำงานร่วมกัน เพื่อความอยู่รอด
5. เกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ เมื่อทำลายสิ่งแวดล้อมหนึ่งย่อมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอื่นเสมอ
6. มีลักษณะความทนทานและความเปราะบางต่อการถูกกระทบมากน้อยต่างกัน
7. เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่เปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นการชั่วคราว หรือถาวรก็ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1. กฎความต้องการต่ำสุด (Law of Minimum) ในปี ค.ศ.1840 จัสตัส ฟอน ลีบิก นักพฤกษศาสตร์และสรีระ พบว่าธาตุอาหาร ความชื้น อุณหภูมิ สารอาหาร และธาตุที่จำเป็นอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสัมพันธ์อยู่ด้วย มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชหากได้รับในปริมาณที่พอเหมาะพืชจะเจริญเติบโตได้ดี ถ้าได้รับในปริมาณน้อยเกินขีดจำกัดที่จะอยู่ได้ สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะตายได้
2. กฎความทนทานของเชลฟอร์ด (Law of Tolerance) เชลฟอร์ดเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันที่ได้ศึกษาทางนิเวศวิทยาของสัตว์ พบว่า ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมที่มีน้อยเกินไปเท่านั้นที่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต แต่ถ้ามีมากเกินไปก็มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีช่วงของความทนทาน ต่อปัจจัยต่าง ๆ เพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น ถ้าสูงหรือต่ำกว่าช่วงดังกล่าวจะเป็นอันตราย ไม่สามารถดำรงอยู่ในที่นั้นได้ หรือไม่สามารถเติบโตแพร่พันธุ์ได้
3.หลักการแห่งความสัมพันธ์ที่มีขอบเขตขวางกั้นของปัจจัยสิ่งแวดล้อม
หลักการนี้กล่าวไว้ว่า ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมแต่ละอย่างมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นไม่สามารถแยกปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง โดยไม่กระทบถึงส่วนอื่นของระบบนิเวศได้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพียงใด ก็จะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศได้เพราะสิ่งแวดล้อมเกิดจากการประสานงานกันของหลายปัจจัย
4.หลักการของปัจจัยที่เป็นตัวการจำกัดที่สำคัญที่สุดที่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
หลักการนี้กล่าวว่า ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมใดก็ตามที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจนไม่เป็นปัจจัยจำกัดของสิ่งนั้น ๆ อีกต่อไป แต่จะมีผลกระทบไปถึงปัจจัยอื่นและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อกันเป็นลูกโซ่ จนทำให้ระบบนิเวศหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกระบบนิเวศหนึ่งได้ เช่น ป่าผลัดใบ เมื่อมีความชื้นเพียงพอจะกลายเป็นป่าดงดิบได้ เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม1. แนวความคิดภาวะแวดล้อมต้องเป็นไป เน้นอิทธิพลสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่เหนือมนุษย์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในสมัยแรกเริ่มที่มีมนุษย์เกิดขึ้นในโลก
2. แนวความคิดภาวะแวดล้อมอาจเป็นไป ความเป็นอยู่ของมนุษย์ไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์ มนุษย์สามารถเลือกใช้หรือแก้ไขแต่งเติมสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับความต้องการได้ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี การปกครอง เป็นต้น
3. แนวความคิดคาดการณ์ล่วงหน้า มนุษย์สามารถนำประสบการณ์ ข้อมูล ความรู้สึก สิ่งเร้า มาใช้ตีความ เพื่อแก้ปัญหาและปรับตัวให้เข้าให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
4. แนวความคิดที่ว่ามนุษย์เป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก มนุษย์เป็นผู้ควบคุมธรรมชาติ และในอนาคตมนุษย์จะเป็นผู้ทำลายโลก
5. แนวความคิดสิ่งแวดล้อมทำลายมนุษย์ จากการที่มนุษย์ดำรงชีพด้วยการรบกวนหรือทำลายสิ่งแวดล้อม อันมีผลต่อสมดุลธรรมชาติ เกิดปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อม อันเป็นผลให้ย้อนกลับมากระทบต่อชีวิตของมนุษย์
6. แนวความคิดมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมจะต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในภาวะที่สมดุล เนื่องจากมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมต่างมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน

อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
1. ลักษณะทางกายภาพของร่างกายมนุษย์ สิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์มีอิทธิพลต่อส่วนประกอบและลักษณะทางกายภาพของร่างกายมนุษย์หลายประการ ได้แก่
1.1 สีของผิวหนัง
1.2 ขนาดของร่างกาย
1.3 ระบบการหายใจ
2. วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์
3. ลักษณะสุขภาพอนามัย
4. การตั้งถิ่นฐานของประชากร
5. ที่อยู่อาศัย
6. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
7. ชนิดของพืชและสัตว์ประจำถิ่น
8. กิจกรรมทางด้านการเมือง
9. ความแตกต่างในเรื่องลัทธิศาสนา
อิทธิพลของมนุษย์เหนือธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม1. ลักษณะอิทธิพลของมนุษย์ โดยทั่วไปมนุษย์และสังคมจะอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติ ถูกอิทธิพลของธรรมชาติแผ่รัศมีปกคลุมไปทั่ว มนุษย์ไม่ได้เพียงแต่ต้องการเข้ากับธรรมชาติได้เท่านั้น เมื่อถึงเวลาเหมาะสมโดยเฉพาะสำหรับมนุษย์บางสังคม ส่วนใหญ่มนุษย์ต้องการเอาชนะธรรมชาติ มีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น สร้างเครื่องบินบินไปในอากาศ ชนะป่าเขาด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่มนุษย์จะมีอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างเด็ดขาดหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
2. ขั้นตอนของการเอาชนะธรรมชาติ
นักมานุษยวิทยาแบ่งสังคมออกเป็น 5 แบบ ตามลักษณะการหาอาหาร คือ
1. สังคมล่าสัตว์และหาของป่า
2. สังคมสัตว์เลี้ยงแบบเร่ร่อน
3. สังคมเกษตรกรรมพื้นที่กว้าง
4. สังคมเกษตรกรรมพื้นที่น้อย
5. สังคมอุตสาหกรรม
แต่นักสังคมวิทยาบางคนแบ่งสังคมออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะหรือระดับของความเจริญ คือ
1. สังคมประเพณี
2. สังคมระหว่างเปลี่ยนผ่าน
3. สังคมสมัยใหม่
สิ่งที่ช่วยให้มนุษย์เอาชนะธรรมชาติ คือ เทคโนโลยี เทคโนโลยีที่เห็นง่าย คือ เทคโนโลยีทางวัตถุ เช่น มีด ขวาน จอบ เป็นต้น
รูปแบบของการเอาชนะธรรมชาติ การเอาชนะธรรมชาติของมนุษย์
1. การปรับตัวให้เข้าได้กับธรรมชาติแวดล้อมแล้ว
2. มนุษย์เอาชนะธรรมชาติด้วยการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใช้ประโยชน์จากดินและที่ดินด้วยการเพาะปลูก สร้างบ้านเรือนหรืออาคาร
3. รวมความว่ามนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติหลายรูปแบบจนนับไม่ถ้วน และในอนาคตมนุษย์จะคิดค้นวิธีการเอาชนะธรรมชาติด้วยรูปแบบใหม่ ๆ โดยใช้ปัญญา ความฉลาดของมนุษย์ต่อไป

รูปแบบและระดับการปรับตัวของมนุษย์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตมีรูปแบบและระดับการปรับตัว 5 ระดับ ได้แก่
1. การปรับตัวในระดับพฤติกรรม (Behavioral level) เป็นการปรับตัวอย่างรวดเร็วทันทีทันใดของมนุษย์ ต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น การหลบภัยอันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์
2. การปรับตัวในระดับการรับรู้ทางสรีระ (Functional level) เป็นการปรับตัวโดยร่างกายมนุษย์ปรับสภาพการทำงานของสรีระด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับภาวะแวดล้อม
3. การปรับตัวในระดับพันธุกรรม (Genetic level) เป็นการปรับตัวของมนุษย์ที่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานหลายช่วงอายุ เพื่อปรับตนให้เข้ากับภาวะแวดล้อมนั้น ๆ ซึ่งจะมีผลต่อลักษณะรูปร่างส่วนประกอบร่างกาย อวัยวะต่าง ๆ สีผิว ตลอดจนความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมแต่ละแบบเป็นพิเศษ
4. การปรับตัวในระดับการคิดค้นศิลปวิทยาการและเทคโนโลยี มาปรับสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตน หรือปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เป็นการปรับตัวโดยใช้ความรู้ความสามารถของมนุษย์ที่เรียนรู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติ เข้าใจกลไกของธรรมชาติ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตน เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ดีขึ้น (การปรับตัวทางด้านวัฒนธรรม)

5. การย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย (Migration level) มักจะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถปรับตัวโดยวิธีการอื่น ๆ อีกแล้ว หรือ ในกรณีที่เห็นว่ามีความสะดวกสบายและปลอดภัยกว่า



วิวัฒนาการ (EVOLUTION )
ความหมาย : กระบวนการซึ่งสิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายมากขึ้น จนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่เมื่อเวลาผ่านไป
ทฤษฎีวิวัฒนาการเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อนักธรณีวิทยาและนักชีววิทยาเริ่มสงสัยคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก
ทฤษฎียุคแรก (ซึ่งในปัจจุบันไม่ยอมรับกันแล้ว) ของ ฌอง บับติสต์ ลามาร์ก เสนอว่า พันธุ์ต่าง ๆ มีการสืบทอดลักษณะที่ได้รับมาภายหลัง (Acquired Characteristics)
ทฤษฎียุคใหม่ได้มาจากแนวคิดเรื่อง การคัดเลือกตามธรรมชาติ เสนอโดย ชาร์ลส์ ดาร์วิน (และเกือบจะพร้อม ๆ กัน โดยนักสัตววิทยา ชื่อ เอ.อี. วอลเลซ) ใน ค.ศ. 1859

ดาร์วินเสนอว่า สิ่งมีชีวิตมักให้กำเนิดลูกหลานออกมามากกว่าที่จำเป็นในการคงจำนวนประชากรไว้ และในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันในแต่ละตัว
ในการแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้อาหารและคู่ผสมพันธุ์ สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดลดล้อมมากที่สุด จะมีโอกาสอยู่รอดและถ่ายทอดลักษณะนั้น ๆ สู่ลูกหลานได้มากที่สุด
ลักษณะที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นลักษณะที่เอื้อประโยชน์ ก็จะอยู่รอด
ลักษณะที่ล้มเหลวก็จะถูกคัดออกไป
“นี่คือ การคัดเลือกทางธรรมชาติ”
เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปหรือเมื่อมีลักษณะใหม่ ๆ เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตแต่ละตัว และลักษณะใหม่ ๆ นี้ เป็นที่ต้องการต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็เกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตชนิดใหม่
ใน ค.ศ. 1900 การค้นพบผลงานวิจัยของ เกรเกอร์ เมนเดล นักบวชและนักพฤกษศาสตร์ ชาวออสเตรีย เพิ่มรากฐานทางพันธุศาสตร์ ให้กับการคัดเลือกทางธรรมชาติ และเป็นการรับรองแนวความคิดของดาร์วิน ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
วิวัฒนาการของมนุษย์มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตบนโลก จากหลักฐานและร่องรอยที่มีการค้นพบได้อธิบายให้ทราบถึงวิวัฒนาการก่อนมาเป็นมนุษย์ปัจจุบันไว้ 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. วิวัฒนาการทางชีววิทยา (Biological evolution) การศึกษาและสรุปความเป็นมาเกี่ยวกับสายพันธุ์ของมนุษย์ ยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่ต้องมีการศึกษาและหาบทสรุปต่อไป แต่จากหลักฐานที่มีการค้นพบและศึกษาที่ผ่านมา ได้มีการจัดลำดับของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์ในปัจจุบันตามลำดับดังต่อไปนี้
สายพันธุ์มนุษย์
1. รามาพิเธคัส (Ramapithecus) หรือลิงใหญ่ของพระราม เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายกระบี่หรือลิงใหญ่ไร้หาง (Ape) มีอายุราว 148 ล้านปีมาแล้ว อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย เดินตัวตรงและมีลักษณะร่วมหลายประการกับมนุษย์ปัจจุบัน เช่น ร่างกายตั้งตรง และโครงสร้างขากรรไกรคล้ายมนุษย์ แต่พบหลักฐานน้อยมากจึงไม่สามารถเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์กับมนุษย์ในปัจจุบันได้
2. โพรคอนซูล (Proconsul) เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาเมื่อราว 20 – 10 ล้านปีมาแล้ว มีลักษณะคล้ายกับลิงชิมแพนซี มีความใกล้ชิดกับคนมาก จนมีนักวิทยาศาสตร์บางรายอ้างว่า เป็นบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดที่เรามีร่วมกับกระบี่ ต่อมาภายหลังสายพันธุ์ของกระบี่และคนซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ก็เริ่มแยกตัวออกไป
3. ออสตราโลปิเธคัส (Australopithecus) มีการค้นพบแหล่งฟอสซิลโครงกระดูกในประเทศเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา เมื่อปี ค.ศ. 1974 และที่เก่าแก่ที่สุด เรียกว่า ลูซี มีอายุเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว เธอป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 40 ปี ออสตราโลปิเธคัสมีลักษณะคล้ายมนุษย์ ใกล้ชิดกับกอริลลาและชิมแปนซี มีความสูงตั้งแต่ 0.9 เมตร ถึง 1.8 เมตร สมองมีขนาดหนึ่งในสามของมนุษย์ปัจจุบัน พบว่ามีลักษณะเดินตัวตรงเช่นเดียวกับมนุษย์
4. โฮโม ฮาบิลิส (Homo habilis) หรือมนุษย์ผู้ผลิตเครื่องมือ ฟอสซิลที่พบครั้งแรกมีความเกี่ยวพันกับเครื่องมือที่ทำด้วยหิน เป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ โดยมีชีวิตอยู่เมื่อราว 2.3 – 1.4 ล้านปีก่อน อยู่ในทวีปแอฟริกาตะวันออกมีการทำเครื่องมือหินหลายชนิด รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ตัดขูดขีด และค้อนสำหรับทำเครื่องมือใหญ่จากหินเหล็กไฟ จัดอยู่ในประเภทกลุ่มนักล่าและกินซากสัตว์ มีขนาดร่างกายเท่ากับเด็กอายุ 12 ขวบในปัจจุบัน สูง 1.2-1.5 เมตร ขากรรไกนูน สมองมีขนาดครึ่งหนึ่งของมนุษย์ปัจจุบัน เนื่องจากความเหมือนมนุษย์ปัจจุบันจึงจัดเข้าอยู่ในสกุลเดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน คือ โฮโม นั่นเอง
5. โฮโมอีเร็กตัส (Homo erectus) หรือมนุษย์ตัวตรง มีชีวิตอยู่เมื่อราว 1.9 ล้านปี ถึง 3 แสนปีมาแล้ว (แต่ก็มีหลักฐานว่าอาจอยู่ต่อมาจนถึงเมื่อ 27,000 ปีมานี้เอง) สูง 1.5-1.8 เมตร หน้าผากลาด ขากรรไกหุบเข้า สมองมีประมาณร้อยละ 60-80 ของขนาดสมองเฉลี่ยของมนุษย์ปัจจุบัน และเป็นผู้ค้นพบไฟ มีภาษาพูด มีเครื่องมือเฉพาะงาน มีพิธีกรรมง่าย ๆ และวิธีการล่าสัตว์ที่ก้าวหน้า มีการค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ดังกล่าวกระจายอยู่หลายแห่ง เช่น ที่เกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย เรียกว่า มนุษย์ชวา ที่ใกล้เมืองปักกิ่งประเทศจีน เรียกว่า มนุษย์ปักกิ่ง และอาจรวมถึงซากฟอสซิลที่พบที่ อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปางเมื่อไม่นานมานี้ ที่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นโฮโมอีเร็กตัสด้วย
6. โฮโม นีอันเดอธาเลนซีส (Homo neanderthalensis) พบฟอสซิลชิ้นแรกที่ลุ่มแม่น้ำนีอันเดอร์ ในประเทศเยอรมนี จากรูปร่างลักษณะนับว่าเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน มีอายุเมื่อประมาณแสนปีมาแล้ว เชื่อว่ามนุษย์กลุ่มดังกล่าวอาศัยอยู่ทั่วไปทั้งในยุโรปและเอเชีย มนุษย์กลุ่มนี้นอกจากจะมีลักษณะเหมือนกับมนุษย์ปัจจุบันแล้วยังพบว่า มีการนับถือศาสนา มีการฝังคนตาย มีการทำเครื่องประดับ และเครื่องมือที่แสดงถึงการมีอารยธรรมด้วย
7. โฮโม ซาเปียนส์ (Homo sapiens) หรือ มนุษย์ผู้มีสติปัญญา ได้แก่ เหล่ามนุษยชาติในปัจจุบัน ได้พบร่องรอยของมนุษย์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์นีอันเดอธาเลนซีส ได้หายไปแล้ว แต่ปรากฏกลุ่มใหญ่ขึ้นมาแทน คือ มนุษย์โครมันยอง (Cro - mangon) โดยพบโครงกระดูกในถ้ำโครมันยองของประเทศฝรั่งเศส ตรวจพบว่ามีอายุเมื่อราว 35,000 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด

2. วิวัฒนาการทางวัฒนธรรม (Cultural evolution) จากการที่มนุษย์มีสมองมากทำให้สามารถเรียนรู้ จดจำ ประดิษฐ์ คิดค้น และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้เจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถูกถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ โดยพิจารณาจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มนุษย์ในสมัยนั้น ๆ ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใช้ ดังต่อไปนี้
2.1 ยุคหินเก่า 2.4 ยุคสำริด
2.2 ยุคหินกลาง 2.5 ยุคเหล็ก
2.3 ยุคหินใหม่

2.1 ยุคหินเก่า เป็นยุคที่มนุษย์ได้นำเอาวัสดุที่อยู่ใกล้ตัวมาเป็นเครื่องมือในการหาอาหาร ทั้งการล่าสัตว์และการกะเทาะเปลือกเมล็ดพืช มนุษย์กลุ่มแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ผู้ผลิตเครื่องมือคือ โฮโม ฮาบิลิส ซึ่งมีอายุเริ่มแรกอยู่ระหว่าง 2 - 1.5 ล้านปีมาถึงยุคหินกลาง มนุษย์รุ่นต่อมาก็มีการนำเครื่องมือหินที่ผ่านการกะเทาะแบบง่าย ๆ มาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงราว 8,000 ปีก่อน ค.ศ. หรือในยุคของมนุษย์โครมันยอง ปัจจุบันมีการค้นพบเครื่องมือหินดังกล่าวกระจายอยู่หลายแห่งของโลก

2.2 ยุคหินกลาง เริ่มเมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อน ค.ศ. หลังจากที่ผ่านยุคน้ำแข็งอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น การใช้ชีวิตในวิกฤติยุคน้ำแข็งทำให้มีการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด เครื่องมือง่าย ๆ แบบเดิมถูกนำมาตกแต่งให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานยิ่งขึ้น รูปแบบเครื่องมือจึงแตกต่างไปจากเดิม การใช้ชีวิตก็ยังคงเป็นการเก็บของป่าและล่าสัตว์อยู่ จนกระทั่งสิ้นสุดยุคหินกลางเมื่อราว 6,000 ปี ก่อน ค.ศ. เมื่อมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจนแตกต่างไปจากวิถีชีวิตดั้งเดิม เพราะประชากรเพิ่มขึ้นขณะที่อาหารในธรรมชาติลดน้อยลง

2.3 ยุคหินใหม่ เริ่มเมื่อประมาณ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติมีไม่เพียงพอต่อการแสวงหาและการล่า แต่มนุษย์ก็ได้ค้นพบวิธีการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ โดยนำเอาเมล็ดหรือต้นกล้าของพืชมาเพาะปลูกหมุนเวียนตามฤดูกาล ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงจากที่เคยเร่ร่อนเพื่อเก็บของป่าและล่าสัตว์ เป็นการตั้งหลักแหล่งถาวรในบริเวณที่เหมาะแก่การเพาะปลูก นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกำเนิดแหล่งอารยธรรมตามลุ่มแม่น้ำที่สำคัญ ๆ เช่น อารยธรรมลุ่มน้ำไนล์ ลุ่มน้ำไทกรีส – ยูเฟรตีส ลุ่มแม่น้ำคงคา ลุ่มน้ำฮวงโห – แยงซีเกียง เป็นต้น เครื่องมือหินถูกนำมาขัดและตกแต่งให้ประณีตยิ่งขึ้น

2.4 ยุคสำริด เริ่มเมื่อประมาณ 4,000 ถึง 1,200 ปีก่อนก่อนคริสตกาลมนุษย์นำโลหะมาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ โลหะที่ใช้อย่างแพร่หลายในขณะนั้นคือ โลหะสำริด ซึ่งเกิดจากการนำเอาแร่ดีบุกมาผสมกับทองแดง ผลจากการนำโลหะสำริดมาใช้ดังกล่าวทำให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นในชุมชน ได้แก่ งานช่างฝีมือ (โลหะกรรม) การติดต่อค้าขายเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าที่จำเป็น (แร่ดีบุกและทองแดง) กับชุมชนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกล มีการเดินทางติดต่อระหว่างชุมชน ชุมชนที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายได้ขยายเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีการนับเวลาตามปฏิทินเพื่อสะดวกในการเดินทางติดต่อกับชุมชนขึ้น และวางแผนการเพาะปลูก เป็นต้น

2.5 ยุคเหล็ก เริ่มเมื่อประมาณ 1,600 ปีก่อน ค.ศ. เมื่อมีการค้นพบแร่เหล็กทำให้มีการใช้อย่างแพร่หลาย เพราะเหล็กหาได้ง่าย แต่การนำแร่เหล็กมาใช้ต้องนำแร่เหล็กที่ปะปนอยู่ในเนื้อหินมาหลอมหรือถลุง ทำให้อาจเป็นอุปสรรคต่อการขนย้าย จึงสันนิษฐานว่ามีการใช้เครื่องทุ่นแรงประเภทล้อเลื่อน เช่น เกวียน และรถม้าเกิดขึ้นในยุคนี้ด้วย

3. วิวัฒนาการทางสังคม (Social evolution) ผลจากการมีวิวัฒนาการทั้งทางร่างกายและทางวัฒนธรรม ทำให้รูปแบบทางสังคมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเริ่มจากการใช้ชีวิตเร่ร่อนเพื่อแสวงหาอาหารตามธรรมชาติ มีการรวมกลุ่มแบบง่าย ๆ แล้วพัฒนาซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งวิวัฒนาการทางสังคมดังกล่าว ดร.อัลวิน ทอฟเลอร์ ได้จำแนกไว้เป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้
3.1 สังคมคลื่นลูกที่ 1
3.2 สังคมคลื่นลูกที่ 2
3.3 สังคมคลื่นลูกที่ 3

3.1 สังคมคลื่นลูกที่ 1 (First wave) เป็นสังคมเพื่อยังชีพที่เน้นการผลิตและการแสวงหาอาหารเพื่อการยังชีพเป็นสำคัญ วิถีชีวิตของคนในสังคมเป็นแบบเรียบง่าย ความสัมพันธ์ของสมาชิกเป็นแบบปฐมภูมิ การผลิตมุ่งเพื่อการบริโภคเป็นสำคัญ หากเหลือจากการบริโภคก็อาจมีการแลกเปลี่ยนโดยใช้ระบบสิ่งของแลกสิ่งของ (Barter system) มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมคลื่นลูกที่ 1 เป็นเวลายาวนานตั้งแต่ยุคของการใช้ชีวิตแบบเก็บของป่าและล่าสัตว์จนถึงสังคมเกษตรกรรมเพื่อยังชีพในชนบทปัจจุบันด้วย

3.2 สังคมคลื่นลูกที่ 2 (Second wave) เป็นสังคมการค้า และ อุตสาหกรรมโดยเฉพาะหลังจากที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในทวีปยุโรป ได้นำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคน ทำให้การผลิตต่อหน่วยเพิ่มสูงขึ้น การคมนาคมขนส่งสะดวกรวดเร็วมากขึ้นมนุษย์สามารถ ติดต่อค้าขายและเดินทางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมได้อย่างกว้างขวาง วิถีชีวิตของคนในสังคมจึงเปลี่ยนแปลง จากสังคมที่เรียบง่ายเป็นสังคมที่ซับซ้อน ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบทุติยภูมิ(เป็นทางการ) มีการใช้ระบบเงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า โดยเปลี่ยนจากเงินที่เป็นเงินหรือโลหะมีค่ามาเป็นเงินกระดาษเพื่อสะดวกในการพกพา

3.3 สังคมคลื่นลูกที่ 3 (Third wave) เป็นสังคมแห่งอนาคตหรือสังคมแห่งข่าวสารและเทคโนโลยีหรือสังคมแห่งโลกไร้พรมแดน อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะสื่ออิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว บทบาทและสถานภาพของคนจะถูกเก็บรวบรวมไว้ภายในระบบเทคโนโลยี สารสนเทศที่ทันสมัย สามารถสืบค้นได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว ผลจากความก้าวหน้าดังกล่าวทำให้ระบบการผลิต การบริโภคและการจำหน่ายจ่ายแจกสินค้าและบริการ ล้วนต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนจากเงินกระดาษเป็นบัตรเครดิตที่สามารถรวบรวมข้อมูลของเจ้าของบัตรไว้ภายใต้ระบบเดียวกันทั้งหมด ปัจจุบันสังคมคลื่นลูกที่ 3 เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตเรามากขึ้นทุกวัน และจะส่งผลชัดเจนมากที่สุดในศตวรรษที่ 21 นี้อย่างแน่นอน
การจำแนกเผ่าพันธุ์มนุษย์
โดยจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
1. เผ่าคอเคซอยด์ เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดแถบเทือกเขาคอเคซัส มีลักษณะเด่น คือ ตาสีน้ำตาลถึงสีฟ้า สีผิวขาวอมชมพูจนถึงน้ำตาลเหลือง ผมหยักศก กะโหลกศีรษะเป็นวงรี ผมสีดำถึงสีทอง ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปยุโรป ต่อมาได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในหลายทวีปทั้งอเมริกาและออสเตรเลีย ได้ขับไล่ชนพื้นเมืองและครอบครองดินแดนหลายแห่ง ได้แก่ ขับไล่ชาวอะบอริจินในทวีปออสเตรเลีย เป็นต้น

2. เผ่ามองโกลอยด์ มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปร่างปานกลาง ผิวเหลือง มีขนตามใบหน้าและร่างกายเพียงเล็กน้อย ผมตรง กะโหลกศีรษะกลม จมูกแบน กระดูกโหนกแก้มนูนเด่น เปลือกตาอูม ตาสีเข้ม และมีก้อนเนื้อตรงมุมนัยน์ตาซึ่งเป็นลักษณะเด่นของคนเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ และเป็นไปได้ว่ากลายมาจากเครื่องป้องกันลมหรือป้องกันไม่ให้ทรายเข้านัยน์ตา ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งเผ่าอินเดียแดง ชนพื้นเมืองอินูอิต (Inuit) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่เดินทางข้ามช่องแคบเบริง จากทวีปเอเชียไปยังทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อประมาณ 40,000 ถึง 12,000 ปี ล่วงมาแล้ว ซึ่งยังมีแผ่นดินเชื่อมต่อระหว่างสองทวีป

3. เผ่านิกรอยด์ ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตร้อนในแอฟริกา(ส่วนที่อยู่ใต้จากทะเลทรายสะฮารา) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหมู่เกาะใกล้แนวศูนย์สูตร มีรูปร่างเล็ก ผิวดำ ผมหยิก ริมฝีปากหนา ตาสีดำ จมูกแบน กะโหลกศีรษะกลม ปัจจุบันได้มีการผสมผสานกับกลุ่มอื่น ๆ ทั้งในพื้นที่เดิมและกับแถบอื่น ๆ ที่อพยพไปทำให้รูปร่างลักษณะแตกต่างไปจนเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมบ้าง


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตทางด้านพืชและสัตว์
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ประกอบด้วย 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ
1. ปัจจัยทางกายภาพ โลกของเราประกอบด้วยแก่นโลก เนื้อโลก และเปลือกโลก ถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิต และทรัพยากรทั้งหลาย ได้แก่ บรรยากาศภาค (อากาศ) อุทกภาค (น้ำ) ธรณีภาค (ดิน หิน แร่) อยู่บนส่วนที่เป็นเปลือกโลก ทรัพยากรที่ไม่มีชีวิตเหล่านี้ เป็นปัจจัยทางกายภาพ ที่เกื้อกูลให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตอยู่ได้
1.1 บรรยากาศภาค (Atmosphere)
บรรยากาศ คือ ส่วนที่เป็นก๊าซชนิดต่าง ๆ ที่หุ้มห่อโลกไว้ เบาบางเมื่ออยู่สูงขึ้นไป และหนาแน่นกว่าที่บริเวณใกล้ผิวโลก มีองค์ประกอบหลักของอากาศโดยปริมาตรดังนี้
ไนโตรเจน ร้อยละ 78.08
ออกซิเจน ร้อยละ 20.95
อาร์กอน ร้อยละ 0.934
คาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 0.34
นอกจากนั้นยังมี ก๊าซเฉื่อย ได้แก่ นีออน ฮีเรียม คริปตอน และซีตอน ที่เหลือเป็นก๊าซที่มีปริมาณน้อยมาก ปริมาณความหนาแน่นของอากาศร้อยละ 99 อยู่สูงจากพื้นโลกไปถึงระยะ 30 กิโลเมตร

ชั้นบรรยากาศ แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ได้ 4 ชั้น ดังนี้
1. โทรโพสเฟียร์ (Troposphere)
2. สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere)
3. เมโซสเฟียร์ (Mesosphere)
4. เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) หรือ ไอโอโนสเฟียร์ (Ionosphere)

อิทธิพลของบรรยากาศภาคที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
พลังงานจากดวงอาทิตย์ มีส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการของบรรยากาศ และการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศ ด้านอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1. อุณหภูมิของอากาศเปลี่ยนแปลงตามระดับละติจูด
2. อุณหภูมิของอากาศเปลี่ยนแปลงตามระดับความสูง
3. อากาศเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล
4. อากาศเปลี่ยนแปลงตามอิทธิพลของลม เช่น ลมประจำปี ลมประจำฤดู ลมประจำเวลา ลมประจำถิ่น และลมพายุ
5. อากาศเปลี่ยนแปลงตามอิทธิพลของกระแสน้ำ
6. เกิดปรากฏการณ์เอลนิโญและลานิญา
6.1 เอลนิโญ หรือ เอลนิโน (El Nino)
6.2 ลานิญา (La Nina)
6.3 ภาวะเรือนกระจก (Greenhouse effect)
แหล่งที่มาและความสำคัญของก๊าซเรือนกระจก
*6.3.1 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
*6.3.2 ก๊าซมีเทน (CH4)
*6.3.3 ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O)
*6.3.4 ก๊าซที่มีสารประกอบพวกคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC)

1.2 อุทกภาค (Hydrosphere)
ความสำคัญของอุทกภาคในระบบสิ่งแวดล้อม สรุปได้ดังนี้
1. เป็นแหล่งอาหาร
2. เป็นตัวกำหนดลักษณะภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
3. เป็นตัวกำหนดชีวิต สัดส่วนลักษณะการกระจายตัวของรูปแบบการดำเนินชีวิตประชากร
4. เป็นแหล่งพลังงาน การคมนาคม นันทนาการ
5. เป็นตัวควบคุมและทำให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ วัฏจักรของน้ำ ที่มีการหมุนเวียนของน้ำในแหล่งน้ำและในบรรยาก
าศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น